หุ่นไฟเบอร์กลาสอิสลาม
หุ่นไฟเบอร์กลาสอิสลาม
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหน สัญชาติอะไร ความเชื่อ ศาสนา เพศ อายุ การศึกษา ฐานะทางสังคม ยากดีมีจน ยาจกหรือเศรษฐี คนเรามักตัดสิน คนจากภายนอกแค่เปลือกนอกที่เห็นว่าเป็นคนดี ไม่ดี เชื่อได้ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาแต่ว่า ผิด! มันไม่เกี่ยวกันเลยซักนิด การมีคนดี หรือไม่ดี โง่หรือฉลาด มีคุณธรรมหรือไม่ เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน มันเหมือนกับการที่พระเจ้าจับคนเหล่านี้มาเขย่าๆรวมกัน แล้วก็โปรยๆส่งเดชไปเรื่อย ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะฉะนั้นจรึงไม่แปลกที่เรามักเห็น พระ ที่ทำตัวบ้าๆบอๆ ตำรวจรีดไถ นักการเมืองโกงกิน ครูอาจารย์ที่โง่ๆสติปัญญาต่ำต้อย ทั้งๆที่คนเหล่านั้น ควรเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่หน้าที่การงาน หรือตำแหน่งแห่งที่ บางตำแหน่งต้องสอบเข้าไปด้วยซ้ำ แต่เหตุไฉนถึงมีคนที่ ไปอยู่ในที่ไม่สมควรอยู่มากมายก่ายกอง สร้างความวินาศสันตะโรเต็มไปหมด มันก็แค่เป็นค่าเฉลี่ยแค่นั้น อย่าโลกสวยเชื่อระบบสอบ ระบบคัดเลือกของสังคม มันไม่ได้ยุติธรรมขนาดนั้น อย่าว่าแต่ระบบสอบคัดเลือก ก็ทำโดยคนที่เป็น”ค่าเฉลี่ย”ของมนุษย์เท่านั้น มันก็จะเป็นกันไปเรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้นแต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าศาสนาอิสลามจะมีประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองยาวนานเกี่ยวกับวีรบุรุษและคุณธรรม แต่ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาและความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งเรียกร้องให้มีการมองย้อนกลับเข้าไปภายในตัวเองและการปฏิรูป การแก้ไขปัญหาที่น่าวิตกเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการส่งเสริมชุมชนมุสลิมที่เปิดกว้างและก้าวหน้ายิ่งขึ้น ต่อไปนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบ:
1. ความสุดโต่งและการก่อการร้าย: แม้จะเป็นศาสนาสันติ แต่ศาสนาอิสลามก็ถูกกลุ่มหัวรุนย์ที่เผยแพร่ความรุนแรงและความไม่ยอมรับในนามของศาสนา ยึดถือ อุดมการณ์สุดโต่งเช่น วาฮาบี (Wahhabism) และ ซาลาฟี (Salafism) เป็นเชื้อเพลิงให้กับกิจกรรมก่อการร้าย สร้างความทุกข์ทรมานอย่างมหาศาลและทำให้ภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลามทั่วโลกแปดเปื้อน
2. ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ: แม้ว่าคำสอนของศาสนาอิสลามเกี่ยวกับความเท่าเทียมกันทางเพศ แต่การตีความแบบชายเป็นใหญ่ส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างเป็นระบบในสังคมมุสลิมหลายแห่ง ประเพณี เช่น การแต่งงานกับเด็ก การฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ และการจำกัดการเข้าถึงการศึกษา ล้วนบั่นทอนสิทธิและศักดิ์ศรีของสตรี โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปด้านเพศภายในชุมชนอิสลาม
3. กฎหมายหมิ่นศาสนาและการละทิ้งศาสนา: ประเทศมุสลิมบางประเทศบังคับใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาและกฎหมายการละทิ้งศาสนาที่เข้มงวด ซึ่งจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพทางศาสนา นักวิจารณ์และผู้เห็นต่างเสี่ยงต่อการถูกเบียดเบียน จำคุก หรือแม้กระทั่งความตาย สำหรับการแสดงความคิดเห็นที่ถือว่าเป็นนอกรีตหรือหมิ่นศาสนา ทำให้การอภิปรายทางปัญญาและความหลากหลายทางความคิดลดลง
4. การเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกันและสิทธิของ LGBTQ+: สังคมมุสลิมหลายแห่งเผชิญกับการเหยียดกลัวคนรักเพศเดียวกันและการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล LGBTQ+ อย่างฝังราก ซึ่งมักได้รับการพิสูจน์ผ่านการตีความทางศาสนา ชาวมุสลิม LGBTQ+ เผชิญกับการรังเกียจเดียดฉันท์ ความรุนแรง และการเบียดเบียน เนื่องจากทัศนคติแบบอนุรักษ์นิยมขัดแย้งกับเสียงเรียกร้องให้ยอมรับและรวมกลุ่มกันมากขึ้นภายในชุมชนอิสลาม
5. ความตึงเครียดระหว่างศาสนา: อิสลามกลัวและการไม่ยอมรับศาสนาอื่นเป็นความท้าทายสำคัญต่อชุมชนมุสลิมทั่วโลก ความเข้าใจผิดและอคติเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดการเลือกปฏิบัติและความเกลียดชังต่อชาวมุสลิม ส่งผลกระทบต่อความตึงเครียดระหว่างศาสนา และเป็นอุปส障礙ต่อความพยายามในการสร้างเสวนา ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างชุมชนศาสนาที่หลากหลาย
การยอมรับความจริงอันน่าวิตกเหล่านี้ภายในศาสนาอิสลามเป็นก้าวแรกสู่การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปในเชิงบวก นักวิชาการ ผู้นำ และชุมชนมุสลิมต้องมีส่วนร่วมในการมองย้อนกลับเข้าไปภายในตัวเอง